ภูมิใจไทย เตรียมเสนอ ร่าง พ.ร.บ.บ้านเกิดเมืองนอน : สู่การพัฒนาท้องถิ่นที่ยั่งยืน เผยจุดยืน มอบอำนาจ ปชช. เลือกจ่ายเงินภาษีพัฒนาท้องถิ่นตนเอง ปลดล็อกวาระผู้บริหารท้องถิ่น ลดเกณฑ์อายุผู้สมัครเหลือ 25 ปีขึ้นไป

พรรคภูมิใจไทย (ภท.) นำโดย นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรค และกรรมการบริหารพรรค จัดทำ “เวิร์กชอป บ้านเกิดเมืองนอน : สู่การพัฒนาท้องถิ่นที่ยั่งยืน” ที่จะมีการเสนอ (ร่าง) พระราชบัญญัติบ้านเกิดเมืองนอน พ.ศ. … เข้าสู่การพิจารณาของ สภาผู้แทนราษฎร โดยมี ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ยุวชนภูมิใจไทย เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นกว่า 200 คน และเผยแพร่คลิปวิดีโอผ่านสื่อออนไลน์ของพรรค เพื่อให้ผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมการเวิร์กชอปในครั้งนี้ทราบถึงทิศทางการดำเนิน พ.ร.บ.ดังกล่าวของพรรค

โดยนายไชยชนก กล่าวว่า การจัดทำร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะเป็นการมอบอำนาจกลับสู่มือประชาชน เพราะอำนาจเป็นของประชาชน และประชาชนไม่ควรมีอำนาจแค่ในวันเลือกตั้ง และหวังว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ ทำให้ประชาชนมีอำนาจในการตัดสินใจมากขึ้น และจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประชาชนสามารถตัดสินใจเกี่ยวข้องกับงบประมาณของประเทศ เพื่อนําไปสู่การขับเคลื่อนพัฒนาท้องถิ่นของผู้บริหารทุกคน

สำหรับเนื้อหาที่มีการพูดคุยมีประเด็นที่สำคัญคือ การปลดล็อก วาระการดำรงตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น 2 สมัย 8 ปี ไม่จำกัดวาระการดำรงตำแหน่ง โดยให้ประชาชนเป็นคนเลือก คนเก่ง คนดี มาบริหารงานได้อย่างต่อเนื่อง การเปิดทางเลือก ให้ประชาชนเลือกผู้บริหารท้องถิ่นอายุ 25 ปีขึ้นไป จากเดิมกฎหมายกำหนดอายุ 35 ปีขึ้นไป เพื่อเป็นตัวเลือกและเพิ่มความหลากหลายให้กับประชาชนมากขึ้น จะเห็นว่าอายุไม่ใช่สิ่งพิสูจน์ ไม่ใช่ข้อจำกัด ไม่ใช่ปัจจัย แต่ความสามารถต่างหากคือ สิ่งที่พิสูจน์ความสำเร็จ และเรื่องภาษีบ้านเกิดเมืองนอน ให้ประชาชนเป็นคนกำหนดภาษีรายได้ส่วนบุคคล ภาษีรายได้นิติบุคคล ซึ่ง 30 เปอร์เซ็นต์ ของภาษีนิติบุคคลคือ 195,000 ล้านบาท นำไปกระจายสู่ท้องถิ่น โดยให้อำนาจแก่ผู้เสียภาษี สามารถกรอกได้ว่าอยากจะบริจาคไปพัฒนาท้องถิ่นใด ๆ จำนวนเท่าไหร่ในแต่ละปีได้ด้วยตัวเอง

มอบอำนาจ เลือกจ่ายเงินภาษี พัฒนาท้องถิ่นของตนเอง

พรรคภูมิใจไทยได้เผยแพร่คลิปวิดีโอ “เวิร์กชอป บ้านเกิดเมืองนอน : สู่การพัฒนาท้องถิ่นที่ยั่งยืน” ที่จะมีการเสนอ (ร่าง) พระราชบัญญัติบ้านเกิดเมืองนอน พ.ศ. … เข้าสู่การพิจารณาของ สภาผู้แทนราษฎรลงบนสื่อออนไลน์ของพรรค ซึ่งเนื้อหาภายในคลิปดังกล่าวปรากฏสาระสำคัญ ดังนี้

นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ได้กล่าวถึง พ.ร.บ.บ้านเกิดเมืองนอน ว่า กลไกลสำคัญของการพัฒนาคือเงินงบประมาณ และท้องถิ่นนั้นไม่สามารถเลือกโครงการต่าง ๆ ที่มีความสำคัญกับพี่น้องประชาชนจริง ๆ ได้ เพราะสุดท้ายแล้วต้องอยู่ที่ส่วนกลางเป็นคนเลือก เป็นคนตัด แต่ท้องถิ่นสามารถเลือกได้ถ้าเรามี พ.ร.บ.บ้านเกิดเมืองนอน เกิดขึ้น

ขณะที่นายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ ในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ได้เปิดรับฟังความเห็นจากหลายฝ่ายในการทำกฎหมายนี้ กล่าวว่า ในความคิดกรรมการบริหารชุดใหม่ เรามีความตั้งใจที่จะให้มีวิธีการทำงานของทางพรรคภูมิใจไทยมีส่วนร่วมกับพี่น้องประชาชนมากขึ้น อยากให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ทิศทางและการขับเคลื่อนของพรรคภูมิใจไทยในหลาย ๆ มิติ จึงทำให้เกิดการทำเวิร์กชอป ความเจริญต้องมาจากการพัฒนา การพัฒนาก็ต้องใช้งบประมาณ และงบประมาณอย่างเดียวคงจะไม่ได้ ต้องมี 1. งบประมาณที่เพียงพอ 2. งบประมาณไม่มีการผูกมัด 3. มีผู้บริหารท้องถิ่นที่มีศักยภาพ มีความสามารถ มีวิสัยทัศน์ และมีจิตสำนึกที่จะทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม จะนำไปสู่การพัฒนาและความเจริญได้

ด้านนางสาวผกามาศ เจริญพันธุ์ สส.สุรินทร์ รองโฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ข้อจำกัดของเงินที่ภาครัฐ เรารู้กันอยู่ว่าเงินไม่เพียงพอ งบถูกสอดไส้ เพราะ ตาม พ.ร.บ.กระจายอำนาจ พ.ศ. 2548 รัฐบาลมีหน้าที่มอบเงินจัดเก็บ 30 เปอร์เซ็นต์ให้แก่ อปท. ซึ่งเงินส่วนนี้ควรจะเป็นเงินที่สามารถบริหารจัดการตามโครงการที่อยากจะทำ แต่กลายเป็นว่า งบประมาณนี้ถูกสอดไส้ไปเป็นเงินสวัสดิการ เงินคนพิการ เงินผู้สูงวัย เงินผู้ป่วยเอชไอวี เป็นต้น

ส่วนนายชลัฐ รัชกิจประการ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และกรรมการบริหารพรรค ได้กล่าวถึง พ.ร.บ.บ้านเกิดเมืองนอน ที่นำเอาภาษีมาช่วยพัฒนาท้องถิ่นตนเองว่า รายได้บุคคลธรรมดา แน่นอนว่าตัวนี้มาจากแรงกาย แรงใจความเหนื่อยยากของตัวเอง ที่ต้องแยกจากครอบครัวเข้าไปทำงานในเมืองใหญ่ เพื่อที่จะได้มีรายได้มากขึ้น และส่งเงินกลับมาให้ครอบครัว และมั่นใจว่าทุกคนจะเห็นด้วยว่า ควรจะเป็นอำนาจของประชาชนผู้เสียภาษี ขอแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ ของภาษีนิติบุคคลคือ 195,000 ล้านบาท ไปกระจายสู่ท้องถิ่น ให้อำนาจผู้เสียภาษีสามารถกรอกได้ว่า อยากเสียภาษีที่ไหน จำนวนเท่าไหร่

ปลดล็อกผู้บริหารท้องถิ่นจำกัดวาระ ลดเกณฑ์อายุผู้สมัครเหลือ 25 ปีขึ้นไป

นางสาวพิมพฤดา ตันจรารักษ์ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา รองเลขาธิการพรรค ได้กล่าวถึง ปัญหาเพดานการดำรงตำแหน่งที่เป็นอุปสรรค ขัดขวางท้องถิ่นในการทำโครงการขนาดใหญ่ หรือโครงการระยะยาว พรรคภูมิใจไทย จึงภูมิใจนำเสนอให้ยกเลิกเพดานการดำรงตำแหน่ง 2 สมัย 8 ปี ที่ต่อไปจะไม่จำกัดวาระ ให้ประชาชนเป็นคนเลือกคนเก่ง คนดี มาบริหารงานได้ต่อเนื่อง โดยเห็นว่ากฎหมายไม่ควรเป็นสิ่งปิดกั้น หรือกำหนดว่าผู้บริหารชุดนี้จะได้อยู่ต่อไปหรือไม่ แต่ควรจะเป็นประชาชนที่มีอำนาจสูงสุด เป็นคนกำหนดว่าผู้บริหารชุดนี้ควรได้ไปต่อหรือไม่

นางสาวพิมพฤดา กล่าวอีกว่า ตามกฎหมายการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำหนดว่า ผู้ที่จะมาสมัครเป็นผู้บริหารท้องถิ่นต้องมีอายุ 35 ปีขึ้นไป เราอยากจะเปิดโอกาสให้บุคลที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป มาเป็นตัวเลือกให้กับประชาชน เพื่อเพิ่มความหลากหลายมากขึ้น เพราะในต่างประเทศอย่าง ญี่ปุ่น มีนายกเทศมนตรีอายุ 26 ปี สหรัฐอเมริกา มีนายกเทศมนตรีอายุ 18 ปี ออสเตรเลียมี ส.ส.อายุ 21 ปี อังกฤษ มี ส.ส.อายุ 22 ปี จะเห็นได้ว่าอายุไม่ใช่สิ่งพิสูจน์ ไม่ใช่ข้อจำกัด ไม่ใช่ปัจจัย แต่ความสามารถต่างหากคือ สิ่งที่พิสูจน์ความสำเร็จ

ด้าน นายไชยชนก กล่าวว่า วันนี้ประชาชนมีความสามารถตั้งแต่อายุยังน้อย เนื่องจากเข้าถึงองค์ความรู้และโอกาสได้ง่ายขึ้น เพราะเทคโนโลยีและอีกหลายปัจจัย ประชาธิปไตยมีวิวัฒนาการไปมาก ทุกคนมีความรู้ ความสามารถมากขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อย บวกกับทุกวันนี้การเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัวของประชาชนอีกต่อไป เห็นได้จากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด คนออกมาใช้สิทธิ์มากที่สุด ปัจจุบันในสภา อายุเฉลี่ยของ ส.ส.ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย จึงอยากเปิดโอกาสให้ประชาชนตัดสินใจได้มากขึ้นว่าอยากจะเลือกใคร และอยากให้ทำงานนานแค่ไหน

ทั้งนี้ นางสาวผกามาศ ได้มองเห็นปัญหาเรื่องงบประมาณว่า เมื่อข้อจำกัดของเงินที่ภาครัฐ ไม่เพียงพอ งบถูกสอดไส้ เพราะ ตามพ.ร.บ.กระจายอำนาจ พ.ศ. 2548 รัฐบาลมีหน้าที่มอบเงินจัดเก็บ 30 เปอร์เซ็นต์ ให้แก่ อปท. ซึ่งเงินส่วนนี้ควรจะเป็นเงินที่สามารถบริหารจัดการตามโครงการที่อยากจะทำ แต่กลายเป็นว่างบประมาณนี้ถูกสอดไส้ไปเป็นเงินสวัสดิการ เงินคนพิการ เงินผู้สูงวัย เงินผู้ป่วยเอชไอวี เป็นต้น

โดยนายไชยชนก ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า เราหวังว่าจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่พี่น้องประชาชนสามารถตัดสินใจในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณของประเทศไม่มากก็น้อย เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนพัฒนาท้องถิ่นของผู้บริหารทุกท่าน