อบจ.ฉะเชิงเทรา หารือแก้ปัญหามวลน้ำเค็มที่ไหลทะลักเข้าสู่คลองหลายแห่ง สถานีสูบน้ำไม่สามารถผลิตน้ำประปาไม่ได้ ประสานแหล่งน้ำดิบจากเขื่อนป่าสักชล คาดใช้เวลา 4 วันมวลน้ำจืดก้อนแรกจะมาถึง และ 15 วันสถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติ
สืบเนื่องเมื่อเวลา 19.30 น. วันที่ 9 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา ทำนบดินที่ใช้ในการก่อสร้างประตูระบายน้ำท่าถั่ว ใกล้ปากคลองประเวศบุรีรมย์ หมู่ 3 ตำบลบางกรูด อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ของกรมชลประทาน เกิดรอยรั่วและพังทลายลง ทำให้มวลน้ำในแม่น้ำบางปะกงซึ่งมีค่าความเค็มในช่วง 20.83 – 26.40 กรัม/ลิตร ไหลทะลักเข้าสู่คลองประเวศบุรีรมย์อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ฝายที่กักเก็บน้ำไว้บริเวณปากคลองลัดยายหรั่งมีน้ำเค็มท่วมสูงและพังทลายลงในวันที่ 10 เมษายน 2567 ทำให้มวลน้ำเค็มจำนวนมากทะลักลงสู่คลองลัดยายหรั่ง ออกสู่คลองหนามแดง – บางพระ คลองพระองค์ไชยานุชิต กระจายตัวไปยังพื้นที่ตำบลบางกะไห ตำบลบางเตย ตำบลโสธร ตำบลบางพระ ตำบลเกาะไร่ ตำบลคลองเปรง และตำบลคลองประเวศ
ชาวบ้านหลายพันหลังคาเรือนได้รับผลกระทบ สัตว์น้ำในคลองสาขาเริ่มลอยตาย น้ำเค็มทำให้ผักตบชวาในคลองต่าง ๆ เริ่มเน่าเสีย รวมถึงสถานีสูบน้ำประปาหมู่บ้าน จำนวน 8 สถานีสูบน้ำ ไม่สามารถสูบน้ำเพื่อผลิตน้ำประปาให้ชาวบ้านได้ สร้างความเดือดร้อนเป็นวงกว้าง นอกจากนี้ น้ำเค็มที่ไหลทะลักลงคลองพระองค์ไชยานุชิต ที่เชื่อมต่อกับอำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ทำให้พื้นที่การเกษตร กว่า 3 แสนไร่ได้รับผลกระทบ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2567 ดร.กิตติ เป้าเยมทรัพย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา (อบจ.) เชิญนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) 8 แห่ง รวมถึงชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากประตูระบายน้ำแตก พร้อมเชิญตัวแทนจากรมชลประทาน ร่วมแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้าน
ดร.กิตติ เป้าเยมทรัพย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่า อบจ.ฉะเชิงเทรา ได้เข้าแก้ไขปัญหาดังกล่าว เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2567 โดยนำพนักงานพร้อมเครื่องจักรกลเข้าดำเนินการซ่อมทำนบกันดิน เพื่อปิดกั้นน้ำเค็มที่จะทะลักเข้าสู่บริเวณคลองลัดยายหรั่งอย่างเร่งด่วนทันที และดำเนินการแล้วเสร็จในวันที่ 12 เมษายน 2567 แต่มวลน้ำเค็มที่ไหลทะลักในคลองเข้ามาแล้ว เกิดผลกระทบกับประชาชนเป็นวงกว้างในพื้นที่ดังกล่าว พบว่า มีค่าความเค็มอยู่ที่ 17.9 กรัม/ลิตร และมีพื้นที่ตำบลคลองเปรง น้ำเค็มได้เข้าคลองขวาง ที่ต่อกับคลองประเวศบุรีรมย์ เข้าสู่พื้นที่ตำบลคลองเปรง ตำบลหนามแดงบางส่วน
ทั้งนี้ อบจ.ฉะเชิงเทรา ได้เดินหน้าดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยส่งรถน้ำเข้าไปช่วยเหลือในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบใน 8 ตำบลที่ไม่มีน้ำประปาใช้ นอกจากนี้จะใช้น้ำหมักจุลินทรีย์ ใส่รถน้ำฉีดพ่น เพื่อแก้ปัญหาน้ำเน่าเสีย ตามแต่จุดที่มีการร้องขอจะดำเนินการจัดทำแผนฟื้นฟูพัฒนาแหล่งน้ำ ผลักดันน้ำเค็มออกจากพื้นที่คลองหนามแดง – บางพระ โดยใช้น้ำจืดจากคลองนครเนื่องเขตเข้าทางวัดต้นตาล ผลักดันน้ำเค็มที่ยังคงนอนคลองให้มีความเจือจาง และเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด และจะทำการสูบน้ำเค็มออกทางทดลัดยายหรั่ง กลับเข้าคลองประเวศบุรีรมย์ในวันที่ 18 เมษายน 2567 พร้อมประสานกรมชลประทานให้เร่งปล่อยน้ำจืด มาช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบเป็นการเร่งด่วน
ด้าน นายวรา กลัดเนียม หัวหน้าฝ่ายจัดสรรน้ำและปรับปรุงระบบชลประทาน โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพระองค์ไชยานุชิต เปิดเผยว่า โครงการก่อสร้างประตุระบายน้ำท่าถั่วใหม่ ต้องใช้เวลาในการก่อสร้างถึง 2 ปี ซึ่งขณะเกิดเหตุน้ำทะเลได้หนุนสูง กัดเซาะทำนบที่สร้างขึ้นมาพัง น้ำเค็มจำนวนมากจึงไหลลงคลองประเวศบุรีรมย์ ซึ่งผู้รับเหมาและกรมชลประทานได้นำถุง big bag และเหล็กชีทไพล์ (Steel Sheet Piles) มาทำแนวเขื่อนใหม่ทั้งหมด แต่ปริมาณน้ำเค็มที่ไหลทะลักออกสู่คลองประเวศบุรีรมย์มีจำนวนมาก
ที่ผ่านมาเวลาน้ำลงจะเปิดบานประตูน้ำ เพื่อให้น้ำเค็มไหลกลับมา เวลาน้ำขึ้นจะใช้เครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่สูบออก แต่ทางกรมชลฯ ไม่กล้าจะสูบน้ำจนแห้งขอดคลอง เนื่องจากกลัวปัญหาดินจะสไลด์อุ้มน้ำไม่อยู่จนตลิ่งของชาวบ้านพัง
ขณะนี้ได้ประสานขอแหล่งน้ำดิบขนาดใหญ่จากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี โดยจะปล่อยปริมาณน้ำความเร็ว 20 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ให้ช่วยผันน้ำจืดลงมาช่วยแก้ไขปัญหา ณ ตรงจุดนี้ ซึ่งมวลน้ำจากเขื่อนป่าสักต้องผ่านมาทาง คลองบริเวณพระ ราม 6 ไหลสู่คลองระพีพัฒน์ ลงมาคลองแสนแสบ ก่อนผ่านบึงฝรั่งจนไหลมาถึงคลองพระองค์ไชยานุชิต จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึง 4 วัน โดยจะต้องใช้น้ำจืดมากถึง 34 ล้านลูกบาศก์เมตร ในการผลักดันน้ำเค็มและเติมน้ำเข้าคลองให้เข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลาประ มาณ 15 วันในการแก้ไขปัญหานี้