เว็บไซต์คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่ เอกสารรวมคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการวินิจฉัยสิทธิสมัครรับเลือกตั้งปี 2563 เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เมื่อเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ที่ผ่านมา โดยในพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ได้กำหนดบทลงโทษไว้ในมาตรา 120 ผู้ใดลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาท ถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนดยี่สิบปี สำหรับตัวอย่างคำวินิจฉัยของ กกต. มีดังต่อไปนี้ (อ่านคำวินิจฉัยทั้งหมดที่นี่)
ผู้สมัครฯ ขาดคุณสมบัติตาม มาตรา 49 (1) ไม่มีสัญชาติไทยโดยการเกิด ตัวอย่าง ผู้สมัครฯ ถูกคัดค้านเนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานทางราชการที่รับรองว่ามีสัญชาติไทยโดยการเกิด ทั้งสูติบัตรและหนังสือรับรองการเกิด
ผู้สมัครฯ ขาดคุณสมบัติตาม มาตรา 49 (3) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่น้อยกว่า 1 ปีนับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง ตัวอย่าง ผู้สมัครฯ ขาดคุณสมบัติเนื่องจากย้ายชื่อเข้ามาอยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งน้อยกว่า 365 วันเนื่องจาก ผู้สมัครฯ นับวันที่มีชื่อย้ายเข้ามาด้วย โดยย้ายเข้าเมื่อวันที่ 8 พ.ย. 63 และมาลงสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 6 พ.ย. 63 นับได้ 365 วัน (ตามมาตรฐานในการนับเวลาสากล) แต่คณะกรรมการการเลือกตั้งชี้แจงว่า การนับระยะเวลาการมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นฯ พ.ศ.2562 มาตรา 49 (3) ไม่ได้กำหนดวิธีนับเวลาไว้ จึงต้องนับเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่บัญญัติว่า “ถ้าการนับระยะเวลาเป็นวัน สัปดาห์ เดือน หรือปี มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน เว้นแต่จะเริ่มการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาที่ถือได้ว่าเป็นเวลาเริ่มต้นทำการงานตามประเพณี”
ผู้สมัครฯ ขาดคุณสมบัติตาม มาตรา 49(4) สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ตัวอย่าง ผู้สมัครฯ ขาดคุณสมบัติ เนื่องจากวุฒิการศึกษาในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด เนื่องจากมีประกาศ กศน. เรื่อง ยกเลิกการอนุมัติจบหลักสูตรระดับมัธยมศึกษาตอนต้น แม้ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนประกาศดังกล่าว แต่ขณะนี้ยังอยู่ในชั้นศาลปกครองสูงสุด ส่งผลให้คุณวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีมิชอบด้วยกฎหมาย
ผู้สมัครฯ คุณสมบัติตาม มาตรา 50(3) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ ผู้สมัครฯ ที่ถูกคัดค้านในกรณีการเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นสื่อมีมากถึง 20 กรณี จากการพิจารณาของ กกต. มีทั้งเพิกถอนสิทธิตามที่ กกต.จังหวัดเสนอ และไม่เพิกถอนสิทธิ
ตรวจคุณสมบัติตาม มาตรา 50(7) เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีนับถึงวันเลือกตั้ง
ตรวจคุณสมบัติตาม มาตรา 50(8) เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการเพราะทุจริตต่อหน้าที่ฯ
ตรวจคุณสมบัติตาม มาตรา 50(9) เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุด ให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก เพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ตรวจคุณสมบัติตาม มาตรา 50(10)
- เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
- ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยสุจริต
- ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
- กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า
- กฎหมายว่าด้วยการพนันฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก
- กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
- กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในความผิดฐานฟอกเงิน
ตรวจคุณสมบัติตาม มาตรา 50(11) เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง
ตรวจคุณสมบัติตาม มาตรา 50(14) เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐฯ
ตรวจคุณสมบัติตาม มาตรา 50(19) เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง ส.ส. ส.ว. สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นยังไม่ถึง 5 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง