ผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง ที่มีผู้สมัครนายก อบจ. 3 ราย ได้แก่ เบอร์ 1 นายบุ่นเล้ง โล่สถาพรพิพิธ ได้ 162,419 คะแนน เบอร์ 2 นายสาธร วงศ์หนองเตย ได้ 116,366 และเบอร์ 3 นายภูผา ทองนอก ได้ 13,141 คะแนน
วันที่ 23 ธันวาคม 2563 นายสาธร วงศ์หนองเตย ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง (อบจ.) เปิดเผยว่า ต้องการให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กลาง ลงพื้นที่ตรวจสอบ กรณีชาวบ้านในพื้นที่ตั้งข้อสังเกตว่า การเลือกตั้ง อบจ.ตรัง มีการซื้อสิทธิขายเสียงกันอย่างโจ๋งครึ่ม โดยพบว่าตรัง เป็นจังหวัดเดียวในประเทศที่จับผู้ซื้อสิทธิขายเสียงได้ที่ข้างถนนถึง 2 ราย 2 สถานที่ ทั้งในเขต อ.เมือง และอ.วังวิเศษ พร้อมหลักฐานการกระทำความผิด ของกลางที่เป็นเงิน โพยรายชื่อ และสารภาพว่ามีการซื้อเสียงให้กับทีมกิจปวงชน นำไปสู่ความคลางแคลงในผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นว่าสุจริตหรือไม่
นอกจากนี้ ยังพบว่าหน่วยเลือกตั้ง ม. 5 ต.บ่อหิน อ.สิเกา มีชาวบ้านตั้งข้อสังเกตถึงความผิดปกติในการจัดการเลือกตั้ง 1. ในการจัดการเลือกตั้งมีความล่าช้าในช่วงเวลาของการประชาสัมพันธ์ โดยล่วงเลยมาถึงวันที่ 25 พ.ย. มีระยะเวลาการหาเสียงไม่ถึง 1 เดือน 2. การจัดคูหาที่ยากต่อการสังเกตการณ์ ชาวบ้านร้องเรียนว่าไม่สามารถเห็นบัตรขณะนับคะแนนได้ชัดเจน บางหน่วยนับคะแนนโดยไม่มีการชูบัตรให้เห็นชัดเจน การขานคะแนนและการขีดจำนวนคะแนนเสียงไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ส่อไปในทางไม่สุจริตและเที่ยงธรรม 3. รูปภาพของผู้สมัครสมาชิกสภา อบจ.ในบางหน่วยไม่มี ต้องร้องเรียนไปยังเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยจึงจะนำรูปมาติดให้
ทั้งนี้ มีการร้องเรียนจากชาวบ้านเกี่ยวกับกระบวนการนับคะแนนเสียง และการรายงานผลต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งของท้องถิ่น เดิมช่วง 1 ทุ่มที่มีการนับคะแนน คะแนนเสียงของตนยังขึ้นนำอยู่ เมื่อตรวจสอบอีกครั้งช่วงเที่ยงคืนพบว่าคะแนนของผู้สมัครอื่นขึ้นนำ เมื่อผู้สังเกตการณ์ทักท้วงไปเจ้าหน้าที่กกต.ที่ดำเนินการรายงานผล แจ้งว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เสียไป 3 เครื่อง เป็นที่น่าสังเกตว่า จ.ตรัง เป็น 1 ใน 4 จังหวัดที่ระบบคอมพิวเตอร์รายงานผลเสียจากทั้งหมด 76 จังหวัดทั่วประเทศ จึงส่อพิรุธอันน่าเชื่อว่าเป็นการจัดการเลือกตั้งที่ไม่สุจริต
สำหรับประเด็นหลักที่มีการพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เนื่องจากมีการจับกุมผู้กระทำความผิดในการซื้อเสียงได้อย่างชัดเจน ที่แทบจะไม่ปรากฏมาก่อนในประเทศไทย นั่นคือมีผู้กระทำความผิด มีโพยรายชื่อ มีตัวตนของผู้ที่ถูกซื้อเสียง มีเงินที่เป็นหลักฐาน เรื่องนี้เป็นการบ่อนทำลายหลักการทางประชาธิปไตย ในการดำเนินการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม เป็นการจูงใจผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งไปในทางที่มีผลอีกทางหนึ่ง
การให้เงินทองถือว่าเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 65 ใน พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2562 ที่ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น ให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือการชักชวนให้ไป ลงคะแนนไม่เลือกผู้ใดเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น… ทั้งนี้ การให้เงินความผิดตาม (1) หรือ (2) ให้ถือว่าเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจส่งเรื่องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจได้
เรื่องนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่ร้ายแรงมาก ควรต้องถูกดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง สอบสวนดำเนินการให้เป็นผลออกมาอย่างสุจริตและเที่ยงธรรม
“ผมย้ำว่า หากการเลือกตั้งดำเนินการโดยสุจริตและเที่ยงธรรม หากผมแพ้แม้เพียง 1 คะแนนผมก็ยอมรับได้ แต่กรณีนี้ที่มีการจับผู้กระทำความผิดได้ ทราบจากผู้สื่อข่าวว่า การจับกุมมีขั้นตอนการดำเนินการที่ไม่ปกติ มีการปิดกั้นไม่ให้พนักงานสืบสวนของกกต.เข้าถึงผู้ต้องหา ซึ่งต้องใช้ระยะเวลานานมาก กว่าจะเข้าถึงตัวผู้ต้องหาได้ ทั้งที่ประเด็นการจับกุมผู้กระทำความผิดเป็นอำนาจของกกต. ผมคิดว่าเรื่องนี้มีการดำเนินการที่ไม่ปกติ จึงอยากเรียกร้องให้กกต.กลาง ลงพื้นที่สร้างความยุติธรรมให้กับการเลือกตั้งครั้งนี้” นายสาธรกล่าว