ช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคมนี้ ก็เป็นช่วงที่ผู้มีรายได้ จะต้องยื่นแบบภาษีเงินได้กันอีกแล้ว ซึ่งเป็นการยื่นแบบรายได้ในรอบปี 2561 ที่ผ่านมา โดยกระบวนการทั่วไปนั้น ผู้มีรายได้ทุกคนจะต้องไปสำรวจว่า ตลอดทั้งปี ตนเองมีรายได้เท่าไหร่ และมีค่าลดหย่อนภาษีจำนวนเท่าไหร่ จากนั้น กรอกข้อมูลรวมรายได้ทั้งหมด และสิ่งที่ได้รับการลดหย่อน ในแบบแสดงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือภาษีเงินได้นิติบุคคล หากเป็นการยื่นแบบทางอินเทอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร ก็จะมีการคำนวณให้เสร็จสิ้นว่า ผู้มีรายได้จะต้องชำระภาษีเพิ่มเติมหรือไม่ หรือจะได้รับเงินคืนภาษีเท่าไหร่
นายปิ่นสาย สุรัสวดี โฆษกกรมสรรพากร ให้ข้อมูลว่า ในปี 2561 ที่ผ่านมา กรมสรรพากร มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายและการลดหย่อนจากปีก่อน ได้แก่ มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการมีบุตร ที่จากเดิมหักลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท เปลี่ยนเป็นหากมีบุตรคนที่ 2 สามารถหักลดหย่อนเพิ่ม เป็น 60,000 บาท การฝากครรภ์ สามารถหักลดหย่อนได้อีกไม่เกิน 60,000 บาท ตามจำนวนที่จ่ายจริง การหักบริจาคให้สถานพยาบาลของรัฐ จากเดิมหักได้ 1 เท่า เปลี่ยนเป็นสามารถหักได้ 2 เท่า นอกจากนั้น ยังมีมาตรการลดหย่อนภาษีของรัฐ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการใช้จ่ายและการบริจาคให้องค์กรต่างๆ
เมื่อทราบถึงขั้นตอนการยื่นภาษีแล้ว ในเรื่องการคืนภาษี ปีนี้ ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมด้วยเช่นกัน โดยปีนี้ กรมสรรพากร จะยกเลิกการคืนเป็นเงินสดหรือเช็ค แต่จะคืนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น ซึ่งต้องผูกบัญชีพร้อมเพย์ จากนั้นกรมสรรพากร จะโอนเงินเข้าบัญชีให้ แต่หากผู้ใดไม่มีบัญชีพร้อมเพย์ ก็ยังมีแนวทางอื่นรองรับ
สำหรับช่องทางยื่นภาษี สามารถทำได้หลายช่องทาง ตั้งแต่การกรอกข้อมูลในแบบฟอร์ม และยื่นที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา หรือที่ว่าการอำเภอ แต่อาจใช้เวลาในการตรวจสอบเอกสาร กรมสรรพากร จึงแนะนำให้ยื่นภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต ได้ทางเว็บไซด์ของกรมสรรพากร ซึ่งจะสะดวกและรวดเร็วกว่า