close

หน้าแรก

menu
search

“อบจ.” อำนาจเงียบที่ทรงอิทธิพล

schedule
share

แชร์

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกมาประกาศแผนการเลือกตั้ง และเคาะวันเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เป็นวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 โดยการเลือกตั้ง อบจ. จะไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้าหรือการเลือกตั้งนอกเขต

สถานการณ์ปัจจุบันกระแสการเลือกตั้งท้องถิ่นยังคงเป็นที่จับตามองจากสังคมทั้งนักวิชาการ นักการเมือง ตลอดจนประชาชนชาวไทยทุกคน หลายฝ่ายคาดการณ์ผลการเลือกตั้งท้องถิ่นในครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยในการกำหนดทิศทางการเมืองของประเทศไทย เนื่องจากสนามเลือกตั้งท้องถิ่นในครั้งนี้ปรากฏความสัมพันธ์ของการเมืองท้องถิ่นและการเมืองระดับชาติอย่างชัดเจน โดยมีพรรคการเมืองประกาศส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง นายก อบจ. และเป็นผู้ช่วยหาเสียงในหลายพื้นที่ อีกทั้งยังมีผู้ลงสมัครในนามกลุ่มการเมือง และในนามอิสระด้วยเช่นกัน

องค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ อบจ. สำคัญอย่างไร 

อบจ. เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ขนาดใหญ่ มีจังหวัดละหนึ่งแห่งทั่วประเทศ ยกเว้นกรุงเทพมหานคร มีเขตพื้นที่รับผิดชอบครอบคลุมอาณาเขตของทั้งจังหวัด โดยโครงสร้าง อบจ. ประกอบด้วย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร และมีสมาชิกสภาองค์การบริการส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ มีอำนาจพิจารณาข้อบัญญัติต่าง ๆ ของอบจ. และพิจารณาการจัดสรรงบประมาณ

“อำนาจ” และ “หน้าที่”

อบจ. เป็นหนึ่งในองค์กรที่ใกล้ชิดกับประชาชน การเลือกตัวแทนเข้าไปเป็นนายก อบจ. และ ส.อบจ. จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะบุคคลเหล่านี้เมื่อได้รับเลือกแล้ว ก็จะมีหน้าที่ จัดทำบริการสาธารณะ แก้ปัญหา บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชนในพื้นที่

โดยภารกิจของ อบจ.ถูกกำหนดไว้ใน พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 และ พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 เช่น

  • ตราข้อบัญญัติ อบจ. ซึ่งเป็นกฎหมายของ อบจ. โดยเฉพาะ ซึ่งอาจกำหนดเรื่องการบริหารจัดการบริการสาธารณะต่าง ๆ หรือกำหนดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของ อบจ.
  • การจัดทำบริการสาธารณะต่าง ๆ เช่น สร้างถนน สะพาน เส้นทางคมนาคมทางบกและทางน้ำ ท่อขนส่งระบายน้ำ จัดระบบขนส่งมวลชน
  • คุ้มครอง ดูแล และบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บำรุงรักษาป่าไม้ ที่ดิน จัดการมลพิษต่าง ๆ
  • บำรุงรักษาศิลปะ จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น และวัฒนธรรมของท้องถิ่น
  • จัดการ ส่งเสริม และสนับสนุนการจัดการศึกษา รวมทั้งการจัดการหรือสนับสนุนการดูแลและพัฒนาเด็กเล็ก
  • การรักษาความสงบเรียบร้อย ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยภายในจังหวัด
  • การส่งเสริมการท่องเที่ยว
  • การจัดการขยะและติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสีย
  • การจัดให้มีโรงพยาบาลจังหวัด การรักษาพยาบาล การป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ

สำหรับรายได้ของ อบจ. มาจากเงินอุดหนุนที่ได้รับจากรัฐในทุกปีงบประมาณ การเก็บภาษีต่าง ๆ ในจังหวัด กล่าวคือ “รายได้ที่ อบจ. จัดเก็บเอง’ เช่น ภาษีบำรุง อบจ. จากยาสูบและน้ำมัน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ อบจ. มีงบประมาณเป็นของตัวเอง ทำให้การแก้ไขปัญหาหรือการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคภายในจังหวัดสามารถกระทำได้อย่างรวดเร็ว สามารถตอบสนองความต้องการของคนในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที ไม่ต้องรองบประมาณหรือการดำเนินการจากส่วนกลางอย่างเดียว นอกจากนี้ อบจ. ยังมีรายได้จากภาษีที่รัฐจัดเก็บและจัดสรรให้ เช่น ภาษีและค่าธรรมเนียมรถยนต์ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่รัฐจะจัดสรรให้ อบจ. ร้อยละห้าของภาษีที่จัดเก็บได้

วาระการดำรงตำแหน่ง “นายก อบจ.” – “ส.อบจ.”

การได้มาซึ่ง “นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด” และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) นั้นมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน โดยมีที่มา ดังนี้

นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี นับแต่วันเลือกตั้ง แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระไม่ได้ ในกรณีดำรงตำแหน่งไม่ครบ 4 ปีก็ให้ถือว่าเป็น 1 วาระ และเมื่อได้ดำรงตำแหน่ง 2 วาระติดต่อกันแล้วจะดำรงตำแหน่งได้อีกเมื่อพ้นระยะเวลา 4 ปีนับแต่วันพ้นตำแหน่ง

สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ใช้เขตอำเภอเป็นเขตเลือกตั้ง ในกรณีที่อำเภอใดมีสมาชิกเกิน 1 คน ให้แบ่งเขตอำเภอเป็นเขตเลือกตั้ง เท่ากับจำนวนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่จะพึงมีในอำเภอนั้น และมีสมาชิกเขตเลือกตั้งละ 1 คนอายุของสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีกำหนดคราวละ 4 ปีนับแต่วันเลือกตั้ง

ทั้งนี้ แต่ละจังหวัดจะมี ส.อบจ. จำนวนเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนนราษฎรของจังหวัดนั้น โดยกำหนดไว้ดังนี้

  • จำนวนราษฎรไม่เกิน 500,000 คน จำนวนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด 24 คน
  • เกิน 500,000 คน แต่ไม่เกิน 1 ล้านคน จำนวนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด 30 คน
  • เกิน 1 ล้านคน แต่ไม่เกิน 1.5 ล้านคน จำนวนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด 36 คน
  • เกิน 1.5 ล้านคน แต่ไม่เกิน 2 ล้านคน จำนวนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด 42 คน
  • เกิน 2 ล้านคนขึ้นไป จำนวนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด 48 คน

“อบจ.” อำนาจทรงพลังที่สุดของจังหวัด?

           “อบจ. เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีอำนาจ ฤทธิ์เดช และมีแสงมากที่สุดในบรรดาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่คนรู้จักน้อยที่สุดหากเทียบกับเทศบาล อบต. เมืองพัทยา หรือ กทม. ส่วนอำนาจหน้าที่ของ อบจ.นั้น อะไรก็ตามที่ อบต. กับเทศบาลทําได้ อบจ. ก็ทําได้ทุกอย่าง และ อบจ. มีอํานาจที่มีแสงมากกว่าคือ สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด สามารถเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดมาชี้แจงได้” 

จากข้อความข้างต้น นายชำนาญ จันทร์เรือง หนึ่งในคณะกรรมการบริหาร คณะก้าวหน้า อดีต ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กล่าวในรายการพิเศษ The Politics ข่าวบ้าน การเมือง เจาะลึกศึกเลือกตั้งนายก อบจ. ก่อนเข้าทางตรงสุดท้ายเลือกตั้ง นายก อบจ. และสมาชิก อบจ. วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 โปรเจกต์พิเศษเครือมติชน จะเห็นได้ว่า อำนาจหน้าที่ของ อบจ. ไม่เป็นที่รู้จักมากนักในหมู่คนทั่วไป อีกทั้งหลายคนยังคงสับสนการดำเนินภารกิจของ อบจ. ทับซ้อนกับการดำเนินภารกิจของ เทศบาล และ อบต. แม้ในเชิงพื้นที่จะมีพื้นที่ทับซ้อนกัน แต่ อปท. ทุกฐานะจะแบ่งหน้าที่กันทำตามแผนพัฒนาพื้นที่ของตนเอง ซึ่งในบริบทของ อบจ. จะดำเนินการภารกิจใหญ่ ๆ ที่เกินกำลังของเทศบาล และ อบต. โดยจะดำเนินการจัดทำตามที่ อปท. เหล่านั้นร้องขอ แต่ถ้า อบจ. ต้องการดำเนินภารกิจต่าง ๆ ด้วยตนเองก็สามารถจัดทำได้ด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ Rocket Media Lab ร่วมกับสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า และคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวบรวมข้อมูลจากข้อบัญญัติงบประมาณ ปี 2565-2568 ของ อบจ. 76 จังหวัดทั่วประเทศ (ยกเว้นข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ของ อบจ. สุพรรณบุรี และมุกดาหาร ซึ่งยังไม่ผ่านการพิจารณา) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ อบจ. ที่มาจากการเลือกตั้งในปี 2563 เป็นผู้ร่างและใช้งบประมาณในวาระการทำงาน 4 ปีตามกฎหมาย พบว่า การดำเนินภารกิจส่วนใหญ่ของ อบจ. จะเป็นการดำเนินการก่อสร้างถนน 77.11% อาคารและสิ่งปลูกสร้าง 10.86% ไฟฟ้า 4.34% ประปาและระบบน้ำ เพื่ออุปโภคและบริโภค 4.33% การระบายน้ำและป้องกันน้ำท่วม 3.86% และอื่น ๆ อีก 5.5%

จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า งบก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคส่วนมากของ อบจ. ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา นำไปใช้ในโครงการที่เกี่ยวข้องกับถนน ซึ่งมากกว่ากว่างบในโครงการอื่นๆ ที่เหลือรวมกันทั้งหมด ในขณะที่เมื่อพิจารณาจากรูปแบบของงานจะพบว่า เป็นการก่อสร้างขึ้นใหม่เกือบครึ่งหนึ่ง และเป็นการปรับปรุง/ซ่อมแซมในสัดส่วนเกือบเท่ากัน

นายชำนาญ กล่าวต่อไปอีกว่า การต่อสู้ในสนามเลือกตั้งนายก อบจ. ที่มีการวิเคราะห์ว่า การแข่งขันเชิงนโยบายกันมากขึ้น เพราะมีฐานเสียงคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นมานั้น แม้จะเป็นเรื่องดี แต่ตนมองว่าเรื่องนโยบายอย่างเดียวไม่ได้ เพราะตัวนายก อบจ. ต้องมีแสงในตัว มีอำนาจและความรู้ การันตีว่าไม่ใช่ส่งเสาไฟฟ้าลงก็ได้ และที่สำคัญ นโยบายที่เขาหาเสียง ต้องเป็นนโยบายที่สอดคล้องกับปัญหาของจังหวัดนั้นๆ เช่น จังหวัดเชียงใหม่มีปัญหาเรื่องหมอกควัน จังหวัดลำพูนเรื่องลำไย จังหวัดระยองเป็นเรื่องประมง สิ่งเหล่านี้ต้องประกอบกัน

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีพัฒนาการจากอดีตไปเยอะมาก เพราะที่ผ่านมาไม่มีนโยบาย มีแต่บ้านใหญ่ เพราะนับตั้งแต่ปี 2563 ไม่ว่าจะบ้านใหญ่ขนาดไหน ก็ต้องเดินตลาด อยากได้เสียงเขาก็ต้องยกมือไหว้ ถ้านั่งแต่บนบ้านหลังใหญ่ก็หนาว ที่สำคัญ ต้องมีความใกล้ชิดกับประชาชนที่ไปเลือก อย่างป้ายหาเสียงสมัยก่อน ต้องใส่เสื้อราชการเต็มยศ แต่สมัยนี้ต้องใส่เสื้อยืด หรือเสื้อแจ็คเก็ต

“ส่วนจะฝากอะไรถึงการเลือกตั้งครั้งนี้ อบจ. มีอำนาจหน้าที่ และบทบาทที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ตื่นจนนอน ซึ่งเมื่ออำนาจของ อบจ. มีเยอะ เราก็ต้องหาคนรับผิดชอบให้ถูก ไม่ใช่หน้าที่ของ ส.ส. ในการไปยืนหารือในสภา 1-2 นาที ดังนั้นหากเรามีนายก อบจ. ที่เราเลือกกับมือเอง แม้ท่านจะรับเงินมาก็ตาม แต่เขาก็ต้องมีความรับผิดชอบ” นายชำนาญ กล่าวในช่วงท้าย

อิทธิพลของ “อบจ.” สำคัญกับพรรคการเมือง?

ตั้งแต่ปี 2567 การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ในหลายพื้นที่กลายเป็นข่าวระดับประเทศ หลายพรรคการเมืองประกาศเปิดตัวผู้สมัครในแต่ละจังหวัด และแกนนำคนสำคัญของพรรคต่างขนทัพกันลงไปช่วยหาเสียง หลายฝ่ายจึงจับตาพลังของพรรคต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มผลการเลือกตั้งครั้งหน้าในปี 2570

จากบทสัมภาษณ์ ผศ.ดร.ณัฐกร วิทิตานนท์ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บนเว็บไซต์ของประชาไท เรื่องวิเคราะห์เลือกตั้ง อบจ. จุดเริ่มต้นของการปรับตัว ความเชื่อมโยงการเมืองระดับชาติ ผศ.ดร.ณัฐกร ให้สัมภาษณ์ว่า อบจ.เป็นสนามท้องถิ่นที่พรรคการเมืองมองข้ามไม่ได้ เพราะใช้ทั้งจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเพื่อรักษาคะแนนนิยม ทั้งกรณีเจ้าของที่นั่งเดิม หรือสำหรับพรรคที่ส่งผู้สมัครลงท้าชิง หรือทวงคืนพื้นที่จากการเลือกตั้ง อบจ.ครั้งก่อน หรือการเลือกตั้ง สส.ครั้งล่าสุด ด้วยเหตุนี้สนาม อบจ.จึงเป็นฐานเสียงสำคัญของการเมืองระดับชาติ

ในมุมพรรคการเมือง สนาม อบจ. จะทำให้รู้เลยว่าอําเภอไหนเป็นฐานเสียงของใคร แล้วก็เหตุผลที่ทําให้การเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้มันโดดเด่นขึ้นมาก็คือพรรคเพื่อไทยแพ้การเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 2566 เพื่อไทยก็เลยคิดว่าจะต้องรื้อฟื้นฐานความนิยมใหม่ โดยเริ่มต้นตั้งแต่ อบจ. นี่แหละ เพราะว่ามันเป็นสนามที่ประเมินได้

ผศ.ดร.ณัฐกร กล่าวต่อไปอีกว่า การเมืองท้องถิ่นเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ในวิถีชนบทมันพึ่งพาไม่ใช่แค่เรื่องตัวเงิน มันเป็นเรื่องของการพึ่งพา-ความใกล้ชิดระหว่างตัวบุคคล งานทางวัฒนธรรมไม่ว่าจะเป็นงานแต่ง งานศพ งานบวช ในแต่ละเดือน เหล่านี้มันก็เป็นพื้นที่ให้นักการเมืองเข้าไปทํางาน สร้างความใกล้ชิดกับชาวบ้านส่วนสาเหตุว่าทำไมจึงมีการพึ่งพาตัวบุคคลสูง ถ้าพูดแบบยืมคําอาจารย์โอฬาร (รศ. ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา) ก็คือว่า เนื่องจากว่าการกระจายความเจริญ-กระจายอำนาจมันไปไม่ถึงชาวบ้าน พอกลไกรัฐลงไปไม่ถึง มันก็เปิดช่องให้มีผู้มีบารมี   หรือคนที่คอยเป็นคนรับบทผู้ประสาน จัดการให้ ติดต่อหน่วยงานนั้นหน่วยงานนี้ ทำให้คนพวกนี้ก็กลายเป็นคนที่มีบทบาทขึ้นมา

“ต้องยอมรับความจริงว่าสังคมไทยยังอยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ การเมืองท้องถิ่นไม่เป็นอิสระ ต้องพึ่งพาการเมืองระดับชาติ และกลไกราชการสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการดึงเอาโครงการ/กิจกรรมมาลงในพื้นที่” ผศ.ดร.ณัฐกร กล่าว

ทั้งนี้ จากการอ้างอิงข้อมูลข้างต้น สนามการเลือกตั้งนายก อบจ. มีความสำคัญอย่างมากในสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ซึ่งอำนาจหน้าที่ของ อปท. แม้จะมีบทบาทในการดำเนินภารกิจที่คล้ายกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันไปตามขนาดและบริบทของพื้นที่ ขณะที่อำนาจหน้าที่ของ อบจ. นั้นแผ่ขยายวงกว้างครอบคลุมทั่วทั้งจังหวัดและมีความใกล้ชิดกับประชาชนมากพอ ๆ กับ อปท. อื่น ๆ อิทธิพลที่มีครอบคลุมทั้งจังหวัดนี้ทำให้เกิด “ภาวะพึ่งพาอาศัย” ระหว่างการเมืองระดับชาติกับการเมืองท้องถิ่น เนื่องจากกลไกที่ซับซ้อนของรัฐ หลายฝ่ายจึงจับตามองว่าจะสนามการเลือกตั้ง อบจ. ในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเมืองระดับในชาติในปี 2570

เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง

ภท. เปิดเวทีเวิร์กชอป เตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.บ้านเกิดเมืองนอน

ภท. เปิดเวทีเวิร์กชอป เตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.บ้านเกิดเมืองนอน

ภท. เปิดเวทีเวิร์กชอป เตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.บ้านเกิดเมือ…

schedule
สภาฯ คว่ำกฎหมาย พ.ร.บ.ที่ดินฯ เพิ่มอำนาจท้องถิ่นแก้ปัญหาหน้าบ้านประชาชน

สภาฯ คว่ำกฎหมาย พ.ร.บ.ที่ดินฯ เพิ่มอำนาจท้องถิ่นแก้ปัญหาหน้าบ้านประชาชน

สภาผู้แทนราษฎร ลงมติไม่เห็นชอบ พ.ร.บ.ที่ดินฯ อ้างความเห…

schedule
“สติธร” ชี้โมเดลเส้นเลือดฝอย กทม. แก้ปัญหาการกระจายอำนาจท้องถิ่น

“สติธร” ชี้โมเดลเส้นเลือดฝอย กทม. แก้ปัญหาการกระจายอำนาจท้องถิ่น

ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผอ.สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย ส…

schedule
ล้วงลึกสมรภูมิเดือดสนามเลือกตั้ง “นายก อบจ.”

ล้วงลึกสมรภูมิเดือดสนามเลือกตั้ง “นายก อบจ.”

หลายฝ่ายจับตา! สนามเลือกตั้ง “นายก อบจ.” สมรภูมิเดือดกา…

schedule

นิตยสารผู้นำท้องถิ่นออนไลน์ รวมข่าวสารอัพเดทของคนท้องถิ่น

ติดต่อเรา

อีเมล : [email protected]