จากกระแสการงดใช้ถุงพลาสติกตั้งแต่วันปีใหม่ที่ผ่านมา นับเป็นนโยบายแรกจากรัฐบาลที่ทำให้คนไทยตื่นตัวต่อการจัดการปัญหาขยะพลาสติกและผลกระทบจากขยะพลาสติกที่มีต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่นักวิชาการบางส่วนมองว่ารัฐบาลยังขาดความจริงใจในการแก้ปัญหาด้านการจัดการขยะ
วันที่ 3 มกราคม 2563 นายสนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า “นโยบายการคัดแยกขยะที่ต้นทางที่ไม่จริงจังของรัฐบาลเป็นสาเหตุของการล่มสลายในการจัดการปัญหาขยะในประเทศ
1.การคัดแยกขยะเป็นเรื่องที่สำคัญ การที่ประชาชนทิ้งขยะโดยไม่ได้คัดแยก ทำให้ขยะที่คัดแยกได้มีปริมาณน้อยและช้ากว่าความต้องการของโรงงานดังนั้นการนำเข้าขยะสำเร็จรูปจึงตอบโจทย์ได้ดีกว่าจึงเป็นที่มาของการที่ราคาขยะตกต่ำซาเล้งเลยชอกช้ำไปตามๆกัน
2.ประเทศในแถบยุโรปเกือบทุกแห่ง รัฐบาลจะออกกฏหมายให้แต่ละบ้านต้องแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง ดังเช่นในประเทศเยอรมนีและเบลเยี่ยม รัฐบาลจะขอให้มีถังสำหรับแยกขยะประเภทต่างๆตั้งอยู่หน้าบ้าน4ถังมีสีต่างๆกันดังนี้ ถังสีดำสำหรับทิ้งขยะแห้งที่ย่อยสลายไม่ได้ทั่วไปเช่นไม้สำลี ทิชชู่เช็ดมือ,ถังสีน้ำตาลเรียกว่าถังbioสำหรับทิ้งเศษอาหาร ผลไม้ ,ถังสีเหลืองสำหรับทิ้งผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติคทั้งหมด,ถังสีเขียวสำหรับทิ้งกระดาษเก่ารวมทั้งกล่องกระดาษ สำหรับขยะประเภทขวดแก้ว กระป๋องจะถูกนำไปทิ้งในตู้คอนเทนเนอร์ที่ตั้งไว้แหล่งชุมชน ขยะขนาดใหญ่เช่นโต๊ะ เตียง ที่นอน เป็นต้น ต้องแจ้งเทศบาลมาเก็บเป็นครั้งคราวส่วนขยะชุมชนอันตราย เช่นหลอดนีออน ถ่านไฟฉาย กระป๋องสเปร์ เป็นต้นให้รวบรวมไปใส่ภาชนะไว้ที่ปั๊มน้ำมันซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่รัฐมารวบรวมไปจัดการอีกที
3.วันไหนเจ้าของบ้านนำขยะผิดประเภทไปใส่ในถังขยะหน้าบ้าน เช่นเอาขยะเศษอาหารไปใส่ในถังขยะแห้ง เป็นต้น รถเก็บขยะของเทศบาลซึ่งจะมาเก็บรวบรวมขยะทุกวันในช่วงเช้าระหว่างเวลา06.00-07.00น.เมื่อเปิดเจอจะถ่ายรูปไว้และไม่เก็บขยะที่บ้านนั้นรวมทั้งจะไม่เก็บขยะในชุมชนในวันนั้นด้วยโดยจะมีหนังสือมาให้เจ้าของบ้านให้ไปเสียค่าปรับที่เทศบาล(ประมาณ 3000-5000 บาท)ขณะเดียวกันจะมีประกาศไปติดในชุมชนแจ้งสาเหตุของการไม่เก็บขยะในชุมชนในวันนั้นซึ่งอาจทำให้บ้านที่ทิ้งขยะผิดประเภทถูกชุมชนรุมประณามได้(Social sanction) ทำให้ทุกบ้านในชุมชนจะเคร่งครัดในการแยกขยะกันอย่างมากสิ่งที่ตามมาคือเกิดการแยกขยะกันทั้งประเทศ
4.หลังจากนั้นรัฐบาลนำขยะแห้งทั้งหมดไปใช้เป็นเชื้อเพลิงเข้าโรงไฟฟ้าขยะ(Waste to Energy),ขยะเปียกนำไปทำปุํยหมักขายให้ประชาชนในราคาถูก,ขยะประเภทอื่นๆนำไปรีไซเคิลกลับมาใช้ใหม่ ส่วนขยะอันตรายนำไปฝังกลบอย่างปลอดภัย(Secured Landfill)
5.ประเทศไทยเน้นการสร้างจิตสำนึกและการจัดรณรงค์ให้ประชาชนแยกขยะเป็นครั้งคราวซึ่งมีประชาชนจำนวนมากได้ทำการแยกขยะเช่นกัน แต่ระบบการเก็บรวบรวมขยะของรัฐเองกลับล้าสมัยไม่สามารถนำขยะดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ได้รวมทั้งที่ผ่านมารัฐไม่มีนโยบายหรือกฏหมายให้ประชาชนแยกขยะที่ต้นทางอย่างจริงจังแต่กลับไปเน้นการสร้างโรงคัดแยกขยะและการกำจัดขยะที่ปลายทางมากกว่าซึ่งทำได้ยากและต้องลงทุนสูง จึงเป็นสาเหตุของที่มาของกองภูเขาขยะจำนวนมากตามเทศบาลต่างๆ นั่นเอง”
นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงนโยบานการลดใช้ถุงพลาสติกในประเทศว่า มีความย้อนแยงกับการที่รัฐบาลยินยอมให้มีการนำเข้าขยะพลาสติกจำนวนมากจากต่างประเทศเพื่อนำมารีไซเคิลเป็นพลาสติกราคาถูกที่ใช้งานได้ไม่กี่ครั้ง โดยกล่าวถึงสาเหตุที่ขยะพลาสติกถูกนำเข้าประเทศไทยได้จำนวนมาก ว่า
1. กลางปี 2560 ประเทศจีนประกาศยกเลิกการนำเข้าขยะอุตสาหกรรมหรือขยะรีไซเคิลโดยเฉพาะเศษพลาสติกและกระดาษที่ยังไม่แปรรูป ดังนั้นประเทศที่เคยส่งขยะไปยังประเทศจีนเพื่อรีไซเคิล เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ยุโรปและอเมริกา เป็นต้นไม่สามารถนำเข้าประเทศจีนได้อีกต่อไปจึงมุ่งมายังประเทศในแถบอาเซี่ยนเนื่องจากกฎหมายไม่ได้มีความเข้มงวดมากนักแถมยังมีบางประเทศมีนโยบายเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศด้วย
2.ประเทศไทยมีคำสั่งคสช.ฉบับที่4/2559กำหนดให้โรงงานประเภท101(ปรับคุณภาพของเสียอันตราย),โรงงานประเภท 105(คัดแยกากของเสียอุตสาหกรรม)และโรงงานประเภท106 (รีไซเคิลกากอุตสากรรม)สามารถตั้งโรงงานได้ทุกแห่งโดยไม่ต้องมีผังเมืองบังคับโดยเฉพาะโรงงานประเภท105และ106ไม่ต้องจัดทำรายงานอีไอเอและเพียงนำแค่รายละเอียดโครงการไปปิดประกาศที่สถานที่ราชการ 3แห่งหากประชาชนไม่คัดค้านในเวลาที่กำหนดไว้ก็สามารถออกใบอนุญาตหรือใบรง.4ได้เลย ดังนั้นโรงงานประเภทดังกล่าวจึงตั้งได้ไม่ยากนักเอื้อต่อการลงทุนซึ่งรัฐบาลหวังจะให้โรงงานดังกล่าวคัดแยกและรีไซเคิลขยะในประเทศให้มากที่สุดแต่ข้อเท็จจริงกลายเป็นโรงงานของต่างชาติที่ซื้อขยะจากต่างประเทศมารีไซเคิล
3.ประเทศไทยไม่มีมาตรการหรือกฎหมายบังคับให้ประชาชนแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง ทำเพียงแค่การรณรงค์สร้างจิตสำนึกเท่านั้นจึงไม่เกิดการแยกขยะที่ครัวเรือนเท่าที่ควร ขยะพลาสติกจึงถูกทิ้งปะปนไปกับสิ่งสกปรกต่างๆทำให้ขยะพลาสติกดังกล่าวไม่เป็นที่ต้องการของโรงงานรีไซเคิลเนื่องจากต้องไปสร้างโรงคัดแยก บดย่อยและทำความสะอาดพลาสติกอีกซึ่งยุ่งยากและต้นทุนสูง
4.ประเทศไทยยังไม่ได้ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ตามพรบ.การส่งออกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรพ.ศ.2522 ที่ห้ามการนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศ ดังนั้นหากเป็นเศษพลาสติกที่สะอาดไม่ปนเปื้อนมีขนาดไม่เกิน 2.0 เซนติเมตรซึ่งเป็นเงื่อนไขการนำเข้า ก็สามารถนำเข้ามาเป็นวัตถุดิบผลิตสินค้าได้นอกจากนี้ยังพบว่ามีการลักลอบนำขยะเศษพลาสติกเข้าประเทศไทยผ่านทางท่าเรือแหลมฉบังจำนวนมากอีกด้วย
5.ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นถึงร้อยละ7.4เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ตั้งแต่ต้นปี ทำให้โรงงานรีไซเคิลในประเทศนำเข้าเศษพลาสติกได้มากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับเศษพลาสติกในประเทศของต่างประเทศจะราคาถูกกว่า สามารถนำมาผลิตสินค้าได้เลย
6.ดังนั้นรัฐบาลโดยกระทรวงทรัพยากรฯ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขต้องทำงานร่วมกัน หาเจ้าภาพและกำหนดนโยบายที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ ต่อไป