พล.อ.ประยุทธ์ หนุนทุกหน่วยงานราชการ-รัฐวิสาหกิจใช้รถยนต์ไฟฟ้า และยกระดับการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเป็นวาระแห่งชาติ ประกาศในงานเอเปคไทยเดินหน้าเป็นฐานผลิตยานยนต์ EV ขนาดใหญ่ของโลก
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังจากเป็นประธานประธานในพิธีเปิดสถานีอัดประจุไฟฟ้า EleX by EGAT โดยความร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ในพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลว่ารัฐบาลมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะมีปริมาณสถานีประจุไฟฟ้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะถือเป็นนายโยบายสำคัญของรัฐบาลนี้ในการส่งเสริมให้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในหน่วยงานราชการ และยังเป็นการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐและภาคเอกชนช่วยกันทำในเรื่องของการลดภาวะโลกร้อนและก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเรามีแผนงานที่ชัดเจน ในส่วนของประเทศไทยนั้นน่าจะเป็นแบบอย่างได้เพราะเรามีการส่งเสริมในหลายมาตรการ โดยเฉพาะกับผู้ประกอบการ จึงทำให้เกิดการลงทุนมากขึ้นในประเทศไทยในระยะต่อไปในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า การประกอบการจัดทำแบตเตอรี่ เพื่อให้ครบวงจร
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 17 พ.ย.2565 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ยังได้เป็นประธานกล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน APEC CEO Summit 2022 ที่ห้องประชุมโรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ อันเป็นการประชุมของภาคเอกชนที่จัดขึ้นคู่ขนานกับการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค และถือเป็นหนึ่งในการรวมตัวของภาคเอกชนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกประจำปีที่สำคัญที่สุด โดยปีนี้จะจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “Embrace, Engage, Enable”โดยมีคณะผู้แทนสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (APEC Business Advisory Council: ABAC) และนักธุรกิจเข้าร่วมรับฟังและแสดงวิสัยทัศน์ในประเด็นสำคัญ เช่น อนาคตของโลก ความยั่งยืน การเติบโตที่ครอบคลุม การสาธารณสุขและสวัสดิการสุขภาพในยุคหลังโควิด-19 และการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล โดยครั้งนี้มีผู้นำและผู้แทนที่เข้าร่วมกล่าวปาฐกถาและเสวนาในการประชุม มีทั้งหมด 5 เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ประธานาธิบดีเวียดนาม ประธานาธิบดีชิลี รองประธานาธิบดีเปรู และนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ และในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 มีทั้งหมด 2 เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวปาฐกถาพิเศษครั้งนี้ถึงทิศทางของประเทศไทยเกี่ยวกับการก้าวไปสู่พลังงานสะอาดว่า เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2065 ซึ่งเรามุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรม EV และการพัฒนาระบบนิเวศที่เกี่ยวข้อง ในการนี้ไทยมุ่งจะเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่งในอนาคตอันใกล้ โดยไทยพร้อมร่วมมือทางด้านการเงินและด้านวิชาการ ตลอดจนการแบ่งปัน ความรู้ การเผยแพร่เทคโนโลยี และการพัฒนาขีดความสามารถกับทุกท่าน อย่างรอบด้าน เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่นี้ อันเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจบีซีจีผสานแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ(Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียวเข้าด้วยกัน(Green Economy) ที่ไทยจะกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ นำมาเป็นยุทธศาสตร์ในการฟื้นฟูจากผลกระทบของโควิด-19 ตลอดจน เป็นแผนแม่บทสาหรับการพัฒนาและการเติบโตในระยะยาวที่สมดุล ยั่งยืน โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า และส่งเสริมความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมทั้งนี้ตนให้ความสำคัญกับการสนับสนุนและมุมมองจากภาคธุรกิจเพื่อสร้างความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่นการส่งเสริมความยั่งยืน การเติบโตที่สมดุลและครอบคลุม
เร่งหน่วยงานราชการใช้รถ EV หนุนเป็นฮับภูมิภาค
นโยบายการผลักดันให้ไทยเป็นฐานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลกรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือเป็นหนึ่งในสามแกนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคตซึ่งรัฐบาลประกาศสู่สาธารณะมาแล้วก่อนหน้านี้คือ 3แกนหลักประกอบด้วยแกนที่ 1. โครงสร้างพื้นฐานที่ใหญ่ที่สุดและบูรณาการมากที่สุด, แกนที่ 2. ภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงต่างๆ และแกนที่ 3. ภาคการธนาคาร และวิธีการทำงานของธนาคาร ไทยสามารถกระตุ้นความมั่งคั่งรุ่งเรืองได้
โดยเฉพาะการผลักดันให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและการส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจรมีการผลักดันผ่านแผนงานอย่างเป็นระบบมาโดยลำดับ กล่าวคือในการสร้างอุปสงค์หรือความต้องการให้เกิดขึ้นในประเทศรัฐบาลได้เร่งรัดให้หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ทั้งหมดทั่วประเทศเป็นองค์กรสำคัญในการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า โดยมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 24 สิงหาคม2564 ให้ทุกหน่วยงานราชการพิจารณาให้มีการจัดซื้อจัดจ้างรถยนต์ไฟฟ้า(EV) มาใช้แทนยานยนต์ที่หมดอายุ หรือที่ต้องจัดซื้อจัดจ้างเพื่อรองรับภารกิจใหม่หรือผู้ดำรงตำแหน่งใหม่ทั้งนี้ ในระยะแรกให้ส่วนราชการที่มีที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ถือปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามและประเมินผลการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของส่วนราชการดังกล่าวเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่องแล้วให้รายงานผลต่อ ครม. โดยเร็ว เพื่อพิจารณาขยายผลการดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไปและนอกจากนี้ยังมีหนังสือเวียนจากสำนักเลขาคณะรัฐมนตรีแจ้งไปยังทุกหน่วยงานราชการเมื่อ25 ส.ค.2564 ให้ยึดถือปฏิบัติเพื่อเพื่อเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและการใช้พลังงานทดแทนของประเทศให้เพิ่มขึ้น รวมทั้งเป็นการลดมลพิษทางอากาศที่เกิดจากไอเสียรถยนต์
คณะรัฐมนตรียังมีมติอีกครั้งเมื่อ 30 พ.ย.2564 ในการพิจารณาการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการประจุไฟฟ้ารถยนต์ไฟฟ้าของราชการ ซึ่งได้รับทราบตามที่นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังชี้แจงว่าสามารถดำเนินการได้ตามระเบียบของทางราชการ โดยกรณีที่เป็นการเช่ารถยนต์ส่วนกลาง การเบิกจ่ายค่าบริการประจุไฟฟ้าถือเป็นค่าสาธารณูปโภคซึ่งเป็นดุลยพินิจของหัวหน้าส่วนราชการ เป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของส่วนราชการ พ.ศ. 2553 ส่วนกรณีที่เป็นรถยนต์ประจำตำแหน่ง ผู้ใช้รถประจำตำแหน่งเป็นผู้จ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวเอง ซึ่งเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ พ.ศ. 2523
นอกจากนี้ครม.ยังอนุมัติ เป็นหลักการว่า ในระหว่างที่โครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ให้ทุกส่วนราชการ “สามารถจัดซื้อจัดจ้างรถยนต์ (รถตู้หรือรถกระบะ) สันดาปภายใน หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle: HEV) หรือรถยนต์ไฟฟ้า แบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV) ไปพลางก่อนได้ ตามความจำเป็นและเหมาะสม และครม.ได้มีการสั่งการให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย
ต่อมาวันที่ 8 ธ.ค.2564 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ออกหนังสือเวียนแจ้งทุกส่วนราชการ เรื่อง การนำรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในราชการ เป็นครั้งที่ 2 ภายหลังได้ออกหนังสือเวียนครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 ส.ค.2564 เพื่อแจ้งให้หน่วยงานราชการทุกส่วนได้รับทราบผลการประชุมครม.วันที่ 30 พ.ย.2564